ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำแหลมสิงห์ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำจันทบุรีไหลออกอ่าวไทย ในยามแดดอ่อนแสง หาดจะร่มรื่นด้วยทิวสนที่ยืนต้นยาวตามแนวชายหาด มีที่นั่งพักผ่อนพร้อมทั้งร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่ริมหาด เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุด ทั้งเล่นน้ำและชมวิวทะเล ที่จากบริเวณหาด มองออกไปจะเห็นเกาะจุฬาและเขาแหลมสิงห์ หรือหากใครอยากเที่ยวเกาะ ที่นี่ก็เป็นจุดขึ้นเรือไปเที่ยวเกาะจุฬาและเกาะนมสาวได้ด้วย ไม่มีค่าเข้าชม เวลาเปิด เปิดทุกวัน ที่ตั้ง ต.ปากน้ำแหลมสิงห์ จาก ถ.สุขุมวิท เลี้ยวขวาที่สามแยกเข้า อ.แหลมสิงห์ (ทางหลวงหมายเลข 3149) ยิงยาว 15 กม. จนถึงปากน้ำแหลมสิงห์ จะมีทางแยกซ้ายเข้าไปบรรจบ ถ.เลียบชายหาดแหลมสิงห์
หาดแหลมสิงห์เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกที่มีความโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นหาดทราย ชายทะเล โขดหิน และอากาศบริสุทธิ์ ที่ใครหลายคนหลงใหล และอยากที่จะเดินทางมาสัมผัสกับธรรมชาติ และยลโฉมความสวยงามของชายหาดที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก แต่อีกมุมหนี่งหาดแหลมสิงห์ก็มีตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับโขดหินที่ละม้ายคล้ายกับสิงโต จนเป็นที่มหาของชื่อแหลมสิงห์ ตำนานจะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันเลย
ตำนานสิงโตคู่ที่แหลมสิงห์ มีที่มาจากภูเขาลูกหนึ่งชื่อ "เขาแหลมสิงห์" ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำจันทบุรี การที่เรียกชื่อเขาลูกนี้ว่าเขาแหลมสิงห์นั้นเพราะด้านหน้าเขามีหินเป็นแก่งเกาะยื่นล้ำออกไปในทะเล และในบรรดาก้อนหินเหล่านี้ มีอยู่ 2 ก้อนลักษณะคล้ายตัวสิงโต มีหัว มีลำตัว มีหาง มีเท้า และดวงตา มีขนาดลำตัวยาว 6 เมตร กว้าง 1.5 เมตร สูงจากพื้นน้ำทะเล 2.5 เมตร ยืนคู่กันล้ำเข้าไปในทะเล สิงโตคู่นี้เป็นที่สักการะนับถืออย่างยิ่งของชาวประมง คำโบราณปรัมปราเล่าว่าเมื่อก่อนนี้ไม่มีสิงโตคู่นี้ แต่กล่าวกันว่าบนเขาแหลมสิงห์มีสิงโตจริงๆ อยู่คู่หนึ่ง สิงโตตัวผู้ตัวเมียคู่นี้ไปไหนด้วยกันเสมอ และลงอาบน้ำทะเลด้วยกันทุกวัน ต่อมาฝรั่งเศสพวกหนึ่งคอยดักทำร้ายสิงโตนี้ โดยใช้วัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง สิงโตตัวหนึ่งถึงแก่ความตาย อีกตัวหนึ่งวิ่งหนีลงทะเลทัน ตัวที่หนีลงทะเลไปนั้น เมื่อตายในน้ำแล้วก็มากลายรูปเป็นสิงโตศิลายืนหยัดอยู่ริมทะเล ส่วนตัวที่ถูกยิงตายอยู่ที่ริมฝั่งทะเล เหลือเพียงแต่ซากหินปรักหักพังยืนข้างศิลาตัวใหญ่ พอจะจับสังเกตเป็นเค้าได้ มีแววเป็นรูปสิงโตได้บ้าง (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: ความเป็นมาของอำเภอสำคัญในประวัติศาสตร์ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หน้า 58-59) หินสิงโตนี้ใช้เป็นจุดสังเกตสำหรับเรือเดินทะเลมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว กล่าวไว้ในจดหมายเหตุเมื่อครั้งราชวงศ์สุ่ย เดินทางออกจากกวางตุ้งไปยังเมืองซิตู้ ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ทางภาคใต้บนคาบสมุทรไทย โดยหลังจากเรือผ่านหินรูปสิงห์ไปได้สองสามวันก็จะเห็นทิวเขาในเขตแคว้นหลั่งยะสิ่ว ซึ่งน่าจะหมายถึงเมืองใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ต่อจากนั้นก็วกเรือลงมาทางใต้ผ่านเกาะรังไก่ไปยังแคว้นซิตู้ โขดหินรูปสิงห์นี้เป็นที่รู้จักกันต่อมาจนกระทั่งในยุคที่ชาวตะวันตกเข้ามาแสดงหาอาณานิคม ต่อมามีนายทหารเรือของฝรั่งเศสทดลองความแม่นปืนด้วยการใช้ปืนเรือยิงหัวสิงห์กระเด็นตกน้ำไป ทำให้รูปสิงห์ที่เห็นอยู่นี้ขาดความสมบูรณ์แต่ดั้งเดิมไป (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: ความเป็นมาของอำเภอสำคัญในประวัติศาสตร์ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หน้า 53)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น